Performance Review : Ultra Boost ST
Ultra Boost ST is no where near reagular Ultra Boost
ตอนแรกเราเข้าใจว่า Ultra Boost ST เป็นเหมือนน้องชายของ Ultra Boost ธรรมดา ที่หน้าตาจะต่างกันนิดหน่อย นิสัยอาจะคล้ายกันๆ ชอบฟังเพลงเดียวกัน ชอบกินอะไรเหมือนกัน อาจจะมีต่างกันนิดหน่อยแต่ในเมื่อโตมาด้วยกันก็คงไม่ต่างกันมากเท่าไหร่
แต่ไม่ใช่เลย…
ST เป็นเหมือนไม้ตายเวอร์ชั่นใหม่ที่สร้างขึ้นมาด้วยหลักการปิดช่องโหว่จากเวอร์ชั่นเดิม ปรับจุดอ่อนให้ดีขึ้น โดยที่ไม่ได้คิดว่าจะต้องเหมือนเวอร์ชั่นเก่ารึเปล่า แต่คิดแค่ว่าจะสร้างรองเท้าที่ดีในระดับพรีเมี่ยม เป็นภาคต่อที่ซื้อตั๋วเข้ามาดูแล้วยังเข้าใจเนื้อเรื่องได้ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องไปย้อนดูภาคเก่า แถมยังโกยคะแนนไปเพียบ ยิ่งกว่าภาคแรกที่ดังเป็นพลุแตก…แต่ติดอยู่ตรงที่ว่า ภาคนี้แทนที่จะเป็นหนังแอคชั่นฟันกันยับ กลับเป็นหนังอินดี้ ความยาว 4 ชั่วโมงแถมไม่มีเพลงประกอบสักฉากเดียว และเป็นแบบที่ดูจบแล้วจะติดอยู่ในใจไปอีกยาวเลย
เราเว่อร์ไปมั้ยเนี่ย.. เข้าเรื่องกันเลยละกัน
อย่างแรก ตัวย่อ ST ง่ายๆเลย มาจากคำว่า Stability เป็นประเภทรองเท้าที่เน้นความมั่นคงที่มักจะเป็นคำตอบของคน “เท้าแบน” , Overpronated หรือ เท้าบิดใน พลิกดูด้านในจะเห็นชัดเจนว่ามีแกนพลาสติกใสๆเป็นเสาค้ำเอาไว้เวลาที่เท้าบิดเข้ามาข้างในนี้ ป้องกันอาการบาดเจ็บ(เบื้องต้น)ได้
บอกอีกทีว่าเราเป็นคนเท้าปกติ (Neutral) ซึ่งตามหลักเทคนิคแล้วจะไม่ตรงกับรองเท้าคู่นี้เป๊ะๆ ส่วนใหญ่เวลาเราใส่รองเท้าแบบนี้มักจะรู้สึกว่าข้างในมันแข็งมากจนถึงขั้นเทอะทะ แต่อันนี้ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แค่รู้ว่าพื้นด้านในมันแน่นกว่าคู่อื่นๆ แต่ไม่ได้เกะกะ
Boost ของคู่นี้ ไม่เหมือนทุกคู่ที่เราเคยลองมา ST เป็นรองเท้าคู่แรกที่ใส่ Boost ที่มีความหนาแน่นไม่เท่ากันในแต่ละส่วน นึกถึง UB ทั่วไป พื้นจะนุ่มนิ่มเท่ากันหมดทั้งผืด แต่คู่นี้จะชัดเจนว่าเป็น Boost ที่แน่นมากๆ ดังนั้นพอใส่เข้าไปครั้งแรกจะรู้สึกว่ามันไม่ได้เด่นเรื่องความนิ่มเลย มีจังหวะยวบแค่นิดหน่อยเท่านั้น แถมไม่ได้เด้งกลับอย่างชัดเจน เรารู้สึกว่าด้านหน้าเท้า พื้นจะแน่นกว่า ไม่เด่งอะไรทั้งสิ้น ส่วนส้นเท้าจะนุ่มกว่านิดนึงและด้านในเท้าจะแน่นที่สุด เป็นไปตามที่สเปครองเท้าบอกเอาไว้ว่าพื้น Boost มีความหนาแน่นไม่เท่ากัน
ส่วนประกอบแบบนี้มันคือการสร้าง”ซัพพอร์ท”ให้กับรองเท้านั่นเองฮะ เพราะเวลาเราวิ่ง น้ำหนักจะถูกถ่ายเทลงไปที่แต่ละจุดของเท้าไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นการปรับจูนแต่ละส่วนของพื้นจะมีส่วนช่วยได้มากเลย
Primeknit ของคู่นี้ก็ไม่เหมือน UB อีกแหละ การทอแต่ละจุดมันแน่นมาก แถมแพทเทิร์นก็ไม่เหมือนกับ UB ไหนๆเลย ทั่วทั้งเท้าเป็นหน้าผ้าที่เน้นมากที่จะให้เท้าเราอยู่ในรองเท้าอย่างปลอดภัย หน้าไม่แคบเผื่อไว้เวลาที่วิ่งไกลๆแล้วเท้าจะขยาย ด้านข้างแทนที่จะมีพลาสติกชิ้นหนาๆมาครอบไว้ กลับเป็นแค่พลาสติกเสริมแรงกับ Knit อีกทีนึง ความอ่อนของผ้าผสมจะทำให้หน้าผ้าเข้ากับรูปเท้าได้เป๊ะขึ้น
ลืมบอกว่าโคราชมาราธอนที่ผ่านมา( 23 ส.ค.) เราเอาคู่นี้ไปใส่ แต่ก่อนจะเอาไปลงสนามจริงๆแน่นอนว่าต้องใช้ซ้อมมาด้วยกัน รวมๆแล้วคู่นี้ก็ประมาณ 100 กม.กว่าๆฮะ อ่ะ จะมาเล่าให้ฟังเป็นฉากๆว่าใช้แล้วเป็นไง
ตอนเริ่มต้นใช้ซ้อม ความรู้สึกแรกเลยคือ มันหนักมาก หนักจนรู้สึกว่า “วันนี้ซ้อมยาว จะไหวมั้ยเนี่ย” ซ้อมไปจนถึงกิโลท้ายๆเริ่มออกอาการ รู้สึกขาล้าเลย ถึงขั้นตะคริวกิน จนตอนนั้นคิดว่าคู่นี้ไม่น่ารอดมาราธอนแน่ๆ
แต่จากการที่เพื่อนนักวิ่งหลายๆคนบิ๊วท์มาว่ารองเท้าดีจริงๆ ก็เลยลองเอามาใส่ซ้อมระยะสั้น 10 กิโลดู คราวนี้ไม่รู้สึกหนักแล้วฮะ รู้สึกฉิวขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เรามารู้สึกตัวเองได้ว่าคราวก่อนเราวิ่งลงปลายเท้าอย่างเดียวเลย แต่คราวนี้เน้นไปเนิบๆ ปรับมาลงน้ำหนักเต็มเท้า ปรากฎว่าเพิ่งรู้สึกว่าได้ใช้ Boost จริงๆก็ตอนนี้แหละ เพราะ Boost ด้านหลังจะมีสปริงเยอะกว่า ที่นี้ถ้าเราลงแต่หน้าเท้า เท่ากับไม่ได้ activate สปริงข้างหลังเลย แต่พอกดแรงลงไปก็เริ่มมีคืนแรงมาบ้างละ เป็นแรงส่งคืนที่ไม่เหมือน UB ตัวปกติเพราะมันแน่นมาก แรงค่อนข้างจะส่งกลับมาถูกตำแหน่ง ยิ่งใช้ซ้อมมากขึ้นยิ่งฉิวขึ้นฮะ หลังจากนั้นก่อนมาราธอนจริง เราเลยไม่ได้เปลี่ยนคู่อีกเลย
เรื่องที่หายห่วงไปเลยคือซัพพอร์ท ไม่รู้สึกว่าขาดแม้แต่นิด มาเต็มจนลืมไปเลยจริงๆ ไม่มีครั้งไหนที่รู้สึกว่าต้องแบกร่างและรองเท้าไปด้วยกันในกิโลที่เริ่มหมดแรง ส่วนประกอบที่ว่ามาตอนแรกมันเวิร์คจริงๆ
ที่ผ่านมาเราซ้อม 26 – 10 – 7 – 26 ตามนี้ฮะ(เท่าที่จำได้) พอวันจริงสนามนี้เป็นสนามที่มีเนินไม่สูง แต่ยาวมาก ยาวเป็นกิโลเลย ช่วงแรกเราไปสาย 5 นาทีแต่ทุกคนเค้าออกไปกันหมดแล้ว ต้องวิ่งทางมืดๆตามช่องวิ่งไปเรื่อยๆ อีกอย่างนึงที่น่าสังเกตคือคู่นี้เร่งความเร็วได้ยาก นอกจากเพราะน้ำหนักและความหนาของพื้นแล้ว หน้าเท้าจะไม่เชิดเหมือนอย่าง Hoka ที่พอลงปลายเท้าแล้ว เท้าจะกลิ้งดีดส้นให้อัตโนมัติ พอเร่งไม่ได้ก็ต้องค่อยๆวิ่งเหงาๆไปคนเดียวก่อน (แต่ไม่เร่งดีแล้วแหละ ไม่งั้นแรงจะหมดตอนปลาย) ผ่านไปสัก 4 กิโลก็พึ่งจะเจอมนุษย์ ตอนนั้นรู้สึกชีวิตมีความหวังขึ้นนิดนึง เจอพี่สองคนเค้าวิ่งเตาะๆอยู่แล้วทำหน้าตกใจว่าทำไมยังมีคนวิ่งอยู่ตรงนี้ หันมาถามว่ามาจากไหนเนี่ย เราเลยตอบไปว่ามาสายจ้า เค้าก็บอกว่าไปก่อนเลยๆ ค่อยๆไป สักกิโลที่ 6 นี่เริ่มเจอคนจริงๆแล้วฮะ จนถึงกิโลที่ 8 เรารักษาให้ pace อยู่ประมาณ 7 นิดๆ จะไม่ให้เร็วกว่านี้ หลังจากนี้เริ่มเข้าสู่ “Happy Pace” เป็นความเร็วที่อยู่ในช่วงที่รู้สึกว่าแฮปปี้ ขึ้นมาหน่อยสัก 6:30 ไปเรื่อยๆจนเริ่มเจอเนินในมหาลัย.มธส เนินเบาๆ ไม่โหด…แต่ไม่สุดสักที
ด้วยความที่รองเท้าไม่ได้หน้าเชิดก็จะกันไว้ไม่ให้เราใช้ความเร็วเยอะเกินไป แต่พอสุดเนินแรกที่กิโลที่ 16 รู้สึกถึงความล้าได้นิดนึง สมาธิเริ่มกระเจิงฮะ เราไปนึกถึงเรื่องนู่นเรื่องนี่ คราวนี้เกิดภาวะหดหู่ขึ้นมา (นักวิ่งหลายๆคนอาจจะเคยเจอแบบนี้) คราวนี้ pace ตกจนรู้สึกว่าไม่อยากวิ่งแล้วด้วย อันนี้ต้องรีบสลัดให้ออก เรารีบค้นเพลงเก่าๆที่เคยใช้วิ่งเมื่อปีที่แล้ว เอากลับมาฟังให้นึกถึงเรื่องที่ชอบที่ผ่านมา พอเพลงแรกขึ้นมา(รู้สึกจะเป็น Frank Ocean ต่อด้วย Kidnapper แล้วก็จีนฟูตอง) ค่อยยังชั่ววววว คราวนี้ pace ขึ้นเลยฮะ อยู่ประมาณ 5-6 ได้จนถึงกิโลที่ 24 ที่พ้นเนินยาวมาอีกลูก…ตะคริวมา
ในใจคิดว่าซวยแล้ว ซวยมากๆ พึ่งผ่านครึ่งทางมานิดเดียวเอง หยุดยืดอยู่ประมาณห้านาทีแล้วค่อยๆไปต่อ ดีที่ยังไม่กลับมาง่ายๆ หลังจากกิโลที่ 32 ตะคริวตามมาทุกๆสองกิโลฮะ สลับเดินวิ่งไปจนพระอาทิตย์ขึ้น Pace ตกลงมาเป็น 7 สลับ 6 ลากไปจนถึงกิโลที่ 40 เหลืออีกแค่สองเท่านั้น คราวนี้รู้สึกว่าเป็น 2 กิโลเมตรที่นานที่สุดในชีวิต ช่วงนี้ลงส้นเต็มๆ ขอใช้แรง Boost ช่วยหน่อย เราใช้เวลาไปประมาณอีก 20 นาทีเพื่อเข้าเส้นชัย จบแบบน้ำตาไหล เป็นการสู้กับตัวเองที่ยากที่สุดเท่าที่เคยวิ่งมา
เราจบเวลาอยู่ที่ 5 ชั่วโมงกับอีก 3 นาที ตอนท้ายกวดเข้าเส้นชัยมาแทบขาดใจ หลุดเรื่องรองเท้าไปเยอะ แต่จะบอกให้สั้นๆว่าที่ผ่านมาทั้งมด ไม่รู้สึกทรมานเท้าเลยฮะ ปกติเราจะรอดูว่าหลังจากวันวิ่งจริงถ้าไม่เจ็บฝ่าเท้าก็จะถือว่าคู่นั้นผ่าน สำหรับ ST นี่ไม่เจ็บเท้าเลย แถมกลับมาเดินธรรมดาได้ด้วย(ยกเว้นขึ้นบันไดนะ)
ขอแนะนำสุดท้ายว่า ST เป็นรองเท้าที่ดีต่อระยะไกลจริงๆฮะ ใครที่ไม่ชินกับรองเท้าหนัก(อย่างเรา) จุดสำคัญคือต้องซ้อมเยอะๆให้ซี้กับรองเท้าก่อนวันจะวิ่งจริงแล้วหายห่วงแน่ๆ รองเท้าที่เน้นซัพพอร์ทเป็นสำคัญ ไม่ใช่ความรู้สึกหวือหวาตอนลองใส่เท่านั้น แอบคิดต่อว่าคนวิ่งลงส้นเท้าน่าจะยิ่งชอบด้วย รวมกับความทนที่เห็นนั่นคือพื้นหลังจาก 100 กม.นะ ลองดูฮะ สำหรับเราคิดว่าทนมากเลยแหละ
ขอบคุณทาง adidas thailand อีกครั้งที่ส่งคู่นี้มาให้ ทั้งๆที่ตอนแรกเราบอกไปด้วยซ้ำว่าไม่ชัวร์นะว่าจะใช้ลงมาราธอนจริงๆรึเปล่า ใครสนใจลองไปดูได้ทั้งช็อป adidas, Ari Running และ Seek Thailand นะฮะ
ใครมีคำถามอะไร ทิ้งไว้ในคอมเม้นท์ได้เลยฮะ ตอบให้ตรงๆเหมือนเดิมแน่ๆ คราวหน้าอยากเห็นรีวิวจาก adidas รุ่นไหนอีกบอกได้เลย ถ้ามีโอกาสจะหามาให้แน่นอนฮะ