Nike Hyperadapt 1.0 : New Thing or Old Trick?
เราคงเห็นกันแล้วแหละว่า Nike Hyperadapt 1.0 ได้เปิดตัวไปแล้วเรียบร้อยเมื่ออาทิตย์ก่อน ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถผูกเชือกได้เองแค่เพียงกดปุ่ม รองเท้ายังชาร์ทแบตได้อีก เป็นการเอาแรงบันดาลใจมาจาก Nike Mag ที่มีระบบ Powerlace System จากในหนัง Back to the future ที่ตอนนั้นถือว่าล้ำสุดๆ
ถ้าเป็นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เรื่องนี้มันจะน่าตื่นเต้นมากๆเลย แต่ในยุคนี้มันกลับไม่ได้ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นแฮะ ในปี 2016 ที่การเปิดตัว iPhone 7 มันไม่มีอะไรให้ประทับใจเหมือนเดิมแล้วเมื่อเราเริ่มเดาทางได้ว่า Apple มักจะเอาเทคโนโลยีที่มีอยู่ก่อน มาปัดฝุ่นใหม่แล้วทำพรีเซ้นให้เก๋ๆ เว่อๆ อลังมากๆ แต่สุดท้ายถ้ามันไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งานได้จริงแล้วเนี่ย ผู้บริโภคก็คงซื้อกันยากขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว
มีคนทำไว้ก่อนแล้ว
อย่างแรกที่เราไม่ตื่นเต้นก็คือ Power Lace เคยมีคนทำสำเร็จไว้ตั้งแต่ปี 2010 แล้ว ลองดูตามคลิปข้างล่างจะเป็นคนที่เคยพยายามสร้างเทคโนโลยีนี้มาด้วยตัวเองหรือเป็นการแฮนด์เมดนั่นล่ะ เค้าทำออกมา 2 เวอร์ชั้น ซึ่งเวอร์ชั่นแรกหน้าตาเทอะทะ มีมอเตอร์และสายไฟยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แต่พอมาเป็นเวอร์ชั่นที่ 2 ก็กลายร่างเป็นรองเท้าหน้าตาธรรมดาคู่นึงเลย ไม่รู้เอาเครื่องมือไปซ่อนไว้ตรงไหนแต่เนียนใช้ได้เลย(อาจจะซ่อนไว้ในรองเท้าก็ได้)
ยังไงก็แล้วแต่ การทำขึ้นมาเองถือว่าเจ๋งในระดับนึง แต่การทำออกมา “เพื่อขาย” มันก็ใช้แรงเพิ่มไปอีกหลายเท่าตัว ลองนึกภาพถ้ารองเท้าในคลิปนี้มีคนซื้อไปแล้วเอาไปใส่จริงๆแล้วมันพังหรือหลุดมาเป็นชิ้นๆ ถ้าเป็นแบรนด์จริงๆคงไม่มีใครอยากเสียหน้าและชื่อเสียงของแบรนด์ต้องเสียหายหลายแสนชัวร์ๆ อันนี้เราก็ไม่แปลกใจอีกว่าทำไมถึงต้องใช้เวลาถึง 6 ปี ตัวแบรนด์เองถึงจะปล่อยของออกมาขายสู่ตลาดและมือของผู้บริโภคได้จริง
นำ้หนัก
เราเห็นรูปทรงอวบๆแบบนี้ มันอดไม่ได้ที่จะมาคิดว่ารองเท้าคู่นี้หนักแค่ไหน? ปกติรองเท้ากีฬาของแบรนด์นี้ มักจะต้องมีการพูดเสมอว่ามันเบาขนาดไหน แต่สังเกตมั้ยว่าในเรื่องนี้ ไม่มีข้อมูลนี้เปิดเผยออกมาซักเท่าไหร่ ด้วยหน้าตาของรองเท้า เราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นรองเท้าออกกำลังกายได้หนักแค่ไหนรึเปล่า?
ว่าแล้วก็ขอยกขึ้นมาพูดอีกคู่นึงละกัน ย้อนกลับไปปี 2015 ที่ Nike Mag ออกมาเปิดตัวอีกครั้งด้วยเทคโนโลยี Power Lace ของจริงแบบที่ใช้งานได้จริงๆ ถูกปล่อยออกมาสู่แฟนๆ sneaker และภาพยนตร์ Back to the future หลังจากนั้นไม่ถึงเดือน Puma ก็ปล่อยทีเด็ดมาด้วยรองเท้าวิ่งที่ผูกเชือกได้เองเพียงใช้ปุ่มกด แถวยังหน้าตาไม่เทอะทะอีกด้วย(ดูรูปเต็มๆได้ที่นี่) ทีเด็ดกว่านั้นคือการเอาให้พ่อหนุ่ม Usian Bolt มนุษย์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกปัจจุบันเป็นคนมาใส่รองเท้าคู่นี้เองด้วย ดูในคลิปนี้ได้ฮะ
เป็นคลิปที่มีแค่นั้นจริงๆ ไม่มีการเอาออกไปวิ่งให้ดูอะไรด้วย แต่อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ระดับนึงแล้วว่าเทคโนโลยีแบบนี้มัน”เล็กลงได้” นั่นหมายถึงมันเข้าใกล้ความเป็นจริงขึ้นมาอีกหนึ่งขึ้น….จนกระทั่ง
รองเท้าตัวจริงได้ไปถึงมือของทีม Sole Collector พี่แกเล่นเอาน้ำเทใส่รองเท้า…จนได้เรื่อง (นาทีที่ 10:50 เป็นต้นไป)
เห็นมั้ยฮะ การทำออกมาว่ายากแล้ว แต่ผลิตออกมาให้”ใช้งานได้จริงในมือของผู้บริโภค” ยิ่งยากเข้าไปใหญ่
Puma ยังไม่ยอมจบง่ายๆ
หลังจากที่ Nike เปิดตัว Hyperadapt 1.0 ออกมาแล้ว ในวันรุ่งขึ้นก็มีอีกคลิปนึงของ Puma โผล่ตามมาอีก คราวนี้ล้ำกว่าเมื่อเราสามารถสั่งการรองเท้าให้รัดเชือกได้โดยใช้ application ในโทรศัพท์
นั่นล่ะฮะ สวนกันไปมา มันส์มากๆ ซึ่งในช่วงวันเดียวกันนั้นเอง Adidas ก็ได้ปล่อย Adidas FUTURECRAFT MFG ออกมาด้วย เป็นตัวแรกที่ออกมาจากโรงงาน SPEEDFACTORY สุดล้ำของแบรนด์เองที่จะผลิตรองเท้าหน้าผ้าเป็น Primeknit ที่ใช้เทคโนโลยี Aramis ในการทำ mapping ให้เข้ากับเท้าคนใส่ได้มากที่สุด แต่ก็ยังเข้ากรอบเดิมๆที่ว่า ผลิตมาจำนวนน้อยมาให้กับญาติพี่น้อง (friend & family) เท่านั้นในจำนวน 500 คู่
ในปี 2016 ที่กำลังจะหมดไป
เรายังคงรอรองเท้าที่ทำด้วยเทคโนโลยี 3D Printing อยู่อย่างใจจดใจจ่อ เห็นรูปหลายทีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้โดนปล่อยออกมาสู่มือผู้บริโภคอยู่ดี มีแค่ 2 แบรนด์เท่านั้นที่ทำออกมาขายได้นั่นคือ Under Armour และ New Balance จริงๆแล้วใครอยู่ในวงการอุตสาหกรรมจะรู้ดีว่า 3D Printing ถูกนำไปใช้กับหลายๆผลิตภัณฑ์มากๆและกำลังคืบคลานเข้าสู่ระบบการผลิตเข้ามาลึกมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็รอวันที่เทคโนโลยีนี้จะเสถียรพอที่จะสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆให้ถึงเราได้ แล้วพอกันใหม่จนกว่าจะถึงวันนั้นฮะ
รองเท้าจากหนังชื่อ NIKE MAG ครับ ไม่ใช่ air mag
แก้ไขเรียบร้อย ขอบคุณมากฮะ 😀