Nike Free RN Flyknit : Review
Nike Free RN Flyknit รองเท้าวิ่งของคนชอบลองของ
ขอเปิดหัวก่อนเลยว่ารองเท้าที่ทำให้เรา “เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและเป็นธรรมชาติที่สุด” อาจจะฟังดูดีมากๆ แต่จริงๆแล้วสำหรับเรามันเป็นรองเท้าที่ใส่ยากนิดนึงนะ
ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ รองเท้าที่เบากว่า พื้นบางกว่า ยืดหยุ่นเป็นอิสระกว่า ทุกคนคงจะนึกภาพการวิ่งฉิวแบบตัวลอยเลยทีเดียว ลมปะทะหน้าให้ความรู้สึก Healhty มากๆ แต่อย่าลืมนึกภาพนี้ด้วย ภาพการวิ่งเข้าสู่กิโลเมตรท้ายๆแล้ว ความเหนื่อยและล้าของกล้ามเนื้อจะมีผลอะไรเมื่อใช้รองเท้าคู่นี้
รองเท้าที่เบากว่า ยืดหยุ่น เป็นอิสระ ก็เหมือนว่ายน้ำโดยที่ไม่ต้องใส่ชูชีพ เราจะว่ายท่าไหนก็ได้ ม้วนตัวกี่รอบก็ได้ เต้นระบำใต้น้ำก็ยังได้ แต่ถ้าเราว่ายน้ำไม่แข็ง เราก็อาจจะสำลักน้ำบ้าง ตะคริวกินบ้าง แต่อย่าให้จมน้ำเลยนะ
ได้ยินอย่างนี้แล้วอย่าเพิ่งกลัวรองเท้ารุ่นนี้…ช่วงแรกที่เราใส่เราก็เจ็บเท้าเหมือนกัน แต่พอผ่านช่วงนั้นไปแล้วมันก็เหมือนยาขมดีๆนี่เอง
รองเท้าแบบนี้คือการส่งเสริมให้เรา “สร้างกล้ามเนื้อ” ของขาและเท้าได้มากขึ้น เหมือนกับตอนที่เราเริ่มยกเวทช่วงแรกๆจะระบมไปหมด มันไม่ได้ระบมขนาดนั้นหรอก แต่มันจะช่วยให้เราวิ่งได้ดีขึ้น แข็งแรงขึ้นแน่นอน วันที่เราว่ายน้ำได้โดยไม่ต้องใช้ชูชีพหรือ”โฟม”ช่วย มันดีจะตายไปเนอะ
การพัฒนาจากรุ่นที่แล้ว
Nike เปลี่ยนระบบการจัดหมวดหมู่จากที่เคยมีการบอกความหนาของพื้น (Offset) เป็นค่า 3.0(4mm) 4.0(6mm) และ 5.0(8mm) ตัวเลขเหล่านั้นได้หายไปแล้ว และปรับให้ค่า Offset ของทั้งตระกูลนี้มีค่าเป็น 8mm ยกเว้นรุ่น Free RN Motion เท่านั้นที่จะเป็น 4mm (ใครไม่เข้าใจเรื่องตัวเลขตรงนี้ผ่านก่อนได้เลยฮะ ไม่ต้องห่วง)
ใครที่ชอบรองเท้า Free Run ของ Nike อยู่แล้วจะยิ่งชอบรุ่นนี้ในเรื่องของ Stability และ Support ที่เพิ่มขึ้น และหน้าผ้าที่มีความแข็งและมั่นคงมากขึ้น พื้นโฟมแน่นขึ้น รองรับแรงได้มากขึ้นและพื้นแพทเทิร์นสามเหลี่ยมก็ช่วยให้มีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นด้วย
ข้อดี
Support : ทั้งพื้นที่แน่นขึ้นและหน้าผ้าที่แน่นขึ้นด้วย ช่วยให้เท้าทรงตัวได้ง่ายขึ้นในแต่ละก้าวที่เราลงเท้า
Cushion : รองเท้าที่ใกล้เคียงการวิ่งเท้าเปล่าของ Nike Free ถือเป็นข้อได้เปรียบในเรื่องการรับแรงกระแทกอยู่แล้วเนื่องจากมีพื้นที่ค่อนข้างหน้า (ถ้าเทียบกับรองเท้า minimalist ของแบรนด์อื่นๆ)
Comfort : ไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้แน่นอนเพราะ Free Run ยังคงเป็นรองเท้าที่ใส่สบายมากที่สุดรุ่นนึงที่เราเคยลองมา
Traction : การยึดเกาะค่อนข้างดีเป็นเพราะพื้นที่มีร่องเยอะ จะยิ่งช่วยลดการลื่นได้มากขึ้น
ข้อเสีย
Size : เราไม่แน่ใจจริงๆว่าควรใส่ไซส์อะไรกันแน่ ปกติแล้วรองเท้า Free Run เราจะได้ยินมาเยอะว่าให้ใส่ใหญ่กว่าไซส์ปกติ 0.5-1 ไซส์ แต่เราก็ใส่ไซส์ 9 มาโดยตลอด แม้จะพอดีเป๊ะมากๆแต่เราคิดว่านั่นคือสิ่งที่รองเท้าควรจะเป็นอยู่แล้ว แต่รุ่นนี้เราก็ใส่ไซส์เดิม(9us) แต่ยังเหลือด้านหน้าพอสมควรโดยที่ด้านข้างและด้านหลังพอดีเป๊ะ ในส่วนนี้เราแก้ปัญหาด้วยการใส่ถุงเท้าหนาแล้วคลายเชือกด้านข้างแค่นิดหน่อย ก็ช่วยได้เยอะเลยทีเดียว
Durable : พื้นโฟมแน่นขึ้นก็จริงแต่เราไม่คิดว่าพื้นรองเท้าจะทนได้ถึง 500 หรือ 600 กิโลเมตร จากการใช้งานไปแล้วประมาณ 40 กม. เราก็เริ่มสังเกตได้ถึงพื้นที่สึกไปบ้างแล้ว
Usage
วิ่งได้มั้ย? : แน่นอนสิ พื้นรองเท้าถือว่าค่อนข้างนุ่มทั้งหน้าเท้าและส้นเท้า เบา เคลื่อนไหวง่าย แต่พอวิ่งเสร็จแล้วขาก็เบาหวิว(ล้า)ไปเลยเหมือนกัน ความยาวที่เหลือด้านหน้ายังรู้สึกได้ แต่ไม่ถึงกับยาวจนสะดุดปลายเท้า ยังมีรำคาญบ้างเพราะยังรู้สึกอยู่ รองเท้าโอบกระชับด้านข้างเท้าดีมากๆ เรื่อง support คงไม่ต้องพูดถึงมากเพราะรองเท้าแบบนี้มีน้อยอยู่แล้ว สำหรับเราคงได้ระยะ 5-10 กิโลเมตร ถ้ามากกว่านี้คิดว่าคงเปลี่ยนมาเป็นคู่อื่นที่ support เยอะกว่านี้จะดีกว่า โดยรวมเราคิดว่าจะยังใช้รองเท้าคู่นี้บ้างเป็นครั้งคราว สลับมาใส่วิ่งในวันที่นอนมาเยอะๆ กินมาเยอะๆ ก็วิ่งได้มันส์ดี เหนื่อยสะใจดีด้วย
ฟิตเนส / training? : รองเท้าทั้งเบาละยืดหยุ่น จะใช้ได้ดีในการเคลื่อนไหวหลายๆอย่าง การที่ต้องเปลี่ยนท่าบริหารหรือเปลี่ยน station รองเท้าคู่นี้จะช่วยให้คล่องตัวขึ้นแน่นอน
เดิน? : คู่นี้กลายเป็นรองเท้าเดินคู่โปรดของเราไปแล้วน่ะสิ ทั้งน้ำหนัก หน้าผ้า และที่สำคัญพื้นรองเท้า (offset 8mm) ช่วยทำให้เดินสบายขึ้นเยอะเลย
Tips
ลองก่อนเท่านั้น! : เตือนไว้เลยว่าใครจะซื้อรุ่นนี้ขอให้ไปลองก่อน เพราะมันบอกยากจริงๆ โดนส่วนตัวเราเป็นคนที่เท้าค่อนไปทางเท้าเรียว แต่ก็ยังรู้สึกว่าไซส์มันจะยาวๆหน่อย
ซื้อมาแล้วต้องใช้! : อย่าพึ่งคิดว่าใส่แล้วเจ็บแปลว่าไม่ดี เราเคยเป็นแบบนั้นมาแล้วและเราก็ลองมาเรื่อยๆจนเข้าใจว่ารองเท้าแบบ minimalist มันมีดีอย่างที่รองเท้าแบบปกติทั่วไปให้ไม่ได้จริงๆ
ข้อควรระวัง
ถ้าใครไม่ได้วิ่งบ่อยๆ หรือไม่เคยใช้รองเท้าประเภทนี้ (minimalist) อาจจะมีเจ็บเท้ากันบ้าง แนะนำให้ใช้คู่นี้ไม่บ่อยเกินไป เราเองมีรองเท้าวิ่งมากกว่าหนึ่งคู่ มักจะเอารองเท้าแบบนี้สลับมาใส่บ้างเป็นครั้งคราว ให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น
ขอขอบคุณ Nike Thailand มา ณ ที่นี้ด้วยฮะที่ให้โอกาสเราได้ลองรองเท้ารุ่นนี้
** รองเท้าวิ่งที่นำมารีวิวจะทุกคู่ผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างน้อย 40 กม.
*** รีวิวนี้มาจากพื้นฐานส่วนตัวของผู้ใส่ อาจมีปัจจัยอื่นๆที่ต่างจากนี้ไป ขึ้นอยู่กับร่างกายและการใช้งานของแต่ละคน