Review : Altra Torin 2.5
Altra Torin 2.5 รองเท้าที่พาเราผ่านมาราธอนแรกในชีวิต
นานมากแล้วที่เราไม่ได้ใส่รองเท้าคู่ไหนซ้ำๆกันเยอะขนาดนี้ เพราะว่าเป็นมาราธอนแรก เลยต้องซ้อมกับคู่เดิมให้ชินเท้ามากที่สุด รวมทั้งหมด 150 กม.ที่พี่เค้าพาเราเข้าเส้นชัยมาได้และจบไม่เจ็บ, สวยงามอย่างที่หวังไว้
ย้อนเรื่องนิดนึง ก่อนหน้านี้คู่ที่ชินเท้าเราที่สุดคือ Saucony Kinvara 7 ตอนแรกก็คิดว่าโอเค คงจะใส่คู่นี้ไปได้ แต่พอได้ซ้อมยาวบ่อยขึ้นก็รู้สึกว่ารองเท้ามันเด้งเกินไป โชคดีที่ไหวตัวทันและกำลังจะหาคู่ใหม่ ในจังหวะนั้นพอดีเป๊ะเลย ทาง Rev Runnr ก็ติดต่อเรามาและอยากสนับสนุนโปรเจคมาราธอนแรกของเราด้วย เราเลยได้โอกาสไปเลือกถึงร้านและสุดท้ายก็เป็นคู่นี้ล่ะฮะ
รองเท้า Altra พึ่งจะเข้ามาวางขายในเมืองไทยได้ไม่กี่ปีเท่านั้น แต่ค่อนข้างได้รับความนิยมพอตัวเลย จุดเด่นของแบรนด์นี้ค่อนข้างเรียบง่ายนั่นคือ “หน้ากว้าง” กว้างมากจริงๆ เดาว่าที่บ้านเราชอบกันอาจจะเป็นเพราะรูปเท้าของคนเอเชียมักจะมีหน้าเท้ากว้าง ซึ่งรองเท้าแบบนี้ในบ้านเราหาไม่ง่ายเลย เพราะแต่ละแบรนด์มักจะมีรองเท้าหน้ากว้างไว้เผื่อเป็นตัวเลือกแค่ไม่กี่รุ่นเท่านั้น แต่แบรนด์นี้เค้าจงใจทำไว้โดยเฉพาะแถมมีหลายแบบด้วยทั้งรองเท้าซ้อม รองเท้าแข่ง หรือรองเท้าวิ่งเทรล
จะว่าไปแล้ว เทคโนโลยีทั้งหมดของคู่นี้ ไม่ได้มีอะไรหวือว่าอย่างพื้นโฟม Boost, Air Max หรือ Gel รองรับแรงกระแทกอะไรแบบนั้น แต่หัวใจหลักมันกลับอยู่ที่การออกแบบด้าน Ergonomic
อย่าพึ่งสับสนกับคำศัพท์ยากๆ เราจะเปรียบเทียบแบบนี้นะ เก้าอี้ทำงานที่หน้าตาหวือหวา ปรับระดับได้หลายอย่าง ปรับสูงต่ำ เปลี่ยนเบาะได้ มีแท่นวางนั่นนี่นู่นสารพัด บางทีเราลองนั่งดู ไม่ว่าจะนั่งท่าไหนก็นั่งไม่สบายเลย แต่ดันไปชอบเก้าอี้หน้าตาธรรมดา ไม่มีการตกแต่งอะไรมากแต่มีส่วนโค้งช่วงที่รับสะโพกและหลังแบบพอดีเป๊ะๆ นั่งลงไปปุ๊ปรู้สึกว่าพอดีตัวมากๆ ทั้งๆที่เป็นเก้าอี้ไม้ธรรมดา
เราว่ารองเท้าของ Altra ใช้หลักการนั้นในการเอาใจคนใส่ แค่ใส่เข้าไปแล้วรู้สึกว่ามันพอดิบพอดี ไม่แย่และไม่รู้สึกผิดแปลกอะไรก็พอแล้ว
Likes
เค้านิยาม Torin กันว่าเป็น King of the Road…เราฟังครั้งแรกก็หรี่ตานิดๆเพราะยังไม่ปักใจเชื่อ แต่หลังจากใช้มาเองก็เข้าใจแล้วว่าเค้าหมายถึงอะไรบ้าง
1. Cushion & Support
Torin เป็นรองเท้าที่จัดอยู่ในหมวดที่เน้นรองรับแรงกระแทกได้มาก พื้นโฟมที่หนาระดับ 27 มม. ไม่บอกก็รู้ว่ารองเท้าจะต้องมี cushion ที่ดีจริงๆ ใส่เข้าไปครั้งแรกแล้วรู้สึกว่าเออ มันไม่เด้งดีเนอะ ไม่ดีดเกินไป น้ำหนักไม่เยอะอย่างที่คิด ใส่ไปเรื่อยๆจนรองเท้าเริ่ม break-in หลังจากประมาณ 30 กม.รู้สึกว่าพื้นนิ่มขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น แต่ไม่ถึงกับยวบ เป็นความนิ่มแบบให้มีช่วงผ่อนคลายได้บ้าง ในระยะไกลที่เราต้องการความมั่นคง รองเท้าที่มีพื้นที่ค่อนข้างเรียบ บวกกับ zero drop ทำให้เรารู้สึกว่ารองเท้าไม่โคลงเคลง หลายครั้งพอเราวิ่งจบแล้วมักจะเจ็บฝ่าเท้าช่วงปลายเท้า แต่อันนี้กลับไม่มีอาการบาดเจ็บแบบนั้นตามมาทั้งวันวิ่งจริงและวันหลังจากนั้นก็ไม่มีเลย
อีกอย่างนึงคือ support ของคู่นี้จัดอยู่ในเกณฑ์ดีเลย นอกจากหน้าผ้าที่มีทั้งส่วนที่แข็งและนิ่มในส่วนต่างๆที่สัมพันธ์กับการลงเท้าแล้ว เราว่า “รูปร่าง” ของคู่นี้เนี่ยแหละ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างประกอบขึ้นมาเป็นเรื่องเดียวกัน พื้นรองเท้าที่กว้างและมีลักษณะบานออกข้างๆ ทำให้เวลาลงเท้ามันค่อนข้างมั่นคงอยู่แล้ว บวกกับพลาสติกเสริมด้านหลังตรงข้อเท้าที่ค่อนข้างแข็ง ช่วย support เท้าเราในช่วงเวลาที่ล้าได้ดีเลย ถึงแม้ว่าพื้นจะเป็นโฟมชิ้นเดียวกันทั้งหมดแต่ด้านหน้าเท้าก็มีดีไซน์เซาะร่องให้รองเท้าบิดตัวได้มากขึ้น ลงเท้าได้ลื่นขึ้น ในช่วงที่เราวิ่งก็ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีปัญหาอะไรตามมาเพราะรองเท้า cover ได้อยู่แล้ว
2. Fit
ตอนใส่วิ่งครั้งแรกรู้สึกเลยว่าหลวมมากๆ เพราะด้านหน้าเท้ามีช่องว่างเหลือเยอะมากๆเลยฮะ เท้าเราเป็นรูปเท้าปกติอยู่แล้ว พอใส่ไปแล้วยิ่งรู้สึกแปลกๆ ยิ่งใส่รองเท้าของ Nike มาเยอะ(ส่วนใหญ่แบรนด์นี้รองเท้าจะหน้าแคบนิดนึง) ยิ่งไม่ชินเข้าไปใหญ่เลย ลงเท้าแต่ละครั้งไม่รู้จะวางนิ้วเท้าไว้ตรงไหน เพราะมีที่ให้นิ้วเท้าแผ่ออกไปได้เยอะจริงๆ แต่พอใช้ไปเรื่อยๆก็ลืมเรื่องนี้ไปหมดเลย เหมือนกับว่าเราชินกับมันไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตามหลักการแล้ว Altra เค้าอยากให้นิ้วเท้าเราได้แผ่ออกในขณะที่เราวิ่ง ทำให้ท่าวิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้น ยิ่งเวลาที่เราวิ่งยาวๆเท้าจะขยายออก ช่องว่างที่มีอยู่ก็จะช่วยให้รองเท้าไม่บีบหน้าเท้าจนเจ็บ เราใส่จนจบระยะทางทั้งวันซ้อมและวันจริง ไม่เคยมีปัญาหานี้เลยฮะ ไม่เจ็บด้านข้างเท้า ไม่โดนบีบอะไรทั้งนั้น ก็น่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ด้วยแหละ แต่ถึงจะเห็นหน้ากว้างอย่างนี้จริงๆแล้วรองเท้าหน้าสั้นนิดนึง ปกติเราใส่ไซส์ 9us แทบทุกรุ่น แต่อันนี้ต้องบวกเพิ่มมาอีกครึ่งไซส์เป็น 9.5us นะฮะ
3. Durablility
ตลอดระยะทั้งหมดที่ใส่วิ่งมา พื้นรองเท้าสึกไปน้อยมากๆ ทั้งส่วนที่เป็นโฟมและเป็นยาง หน้าผ้าก็ไม่มีรอบขาดหรือปริทั้งๆ เราแปลกใจกับความทนของวัสดุมากๆถ้าเทียบกับรองเท้าที่เคยใส่มาแล้วหลายๆรุ่น เราว่าคู่นี้น่าจะถูกใจหลายๆคนที่อยากมีคู่นึงไว้ใช้ยาวๆและน่าจะอยู่กับเราได้นานพอตัวเลย
4. Feeling of “Nothing’s Wrong”
ข้อสุดท้ายถือเป็นคำจัดความของสิ่งที่เราชอบในรุ่นนี้ ที่มันให้ความรู้สึกแบบที่ว่า “ไม่มีอะไรผิดปกติ” ส่วนมากเวลาหารองเท้ารุ่นใหม่ๆ เราอยากจะเห็นอะไรที่มันชัดเจนมากๆเช่น เด้งมาก นิ่มมาก เบามากอะไรแบบนั้น แต่คู่นี้มันแค่ใส่แล้วรู้สึกโอเค ปลอดภัย ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น เราว่ามันถูกจังหวะมากๆเลยที่เราเจอกับคู่นี้ ในจุดที่เราวิ่งและสลับรองเท้าใส่มาหลายคู่แล้ว แต่ละคู่ก็ดีต่างกันและก็มีข้อเสียที่แทนกันไม่ได้ Torin เหมือนกับการเอาข้อดีและข้อเสียทั้งหมดที่เราเจอมา จับมาปั่นรวมกันได้ออกมาเป็นรสชาติที่กลางๆแต่ไม่น่าเบื่อ อาจจะไม่ได้มีจุดพีคตรงไหนแต่อยู่ด้วยกันได้เรื่อยๆและไม่ชวนทะเลาะให้ขัดใจ เราว่ามันเป็นคำตอบของเราในการวิ่งช้าๆยาวๆ สถิติไม่ต้องหรูหรา แต่เข้าเส้นชัยได้ชัวร์ๆ
Dislike
1. Bulky
อย่าว่าเรากลืนน้ำลายตัวเองเลยนะ รูปทรงคู่นี้มันดูเทอะทะพอสมควร เราไม่มีปัญหาเพราะเราไม่ได้อย่างจะทำความเร็วซักเท่าไหร่ แต่วันไหนที่ตารางวิ่งของเรามันมีแค่ 5 กม. เราก็อยากจะเร่งความเร็วบ้าง คู่นี้ก็พอจะเร่งได้แต่มันไม่สะใจเท่าไหร่ แอบคิดถึง Kinvara เล็กน้อยและลามไปคิดถึง Adidas Adios Boost 2 ขึ้นมาด้วย วันไหนอย่างจะซิ่งจริงๆคงจะต้องปล่อยคู่นี้นอนอยู่บ้านไปก่อน
2. Look
เราเรียกคู่นี้ของเราว่ารองเท้ากบ เพราะหน้าตามันบานออกคล้ายๆกับตีนกบ ปากกว้างๆ ประหลาดๆ ยิ่งเอามาวางคู่กันกับ Nike Flyknit Racer แล้วดูเหมือนมาจากคนละดาวกันชัดๆ เราไม่ได้ชอบหน้าตาของมันเท่าไหร่นัก แต่หลังๆเริ่มรู้สึกว่าเทรนด์ของรองเท้าเทรลกำลังเข้ามาในวงการแฟชั่นเยอะมากๆ หรือรองเท้าที่หน้าตาดูไม่น่าจะเข้ากับชุดลำลองได้ก็เริ่มโผล่มาให้เห็นในรันเวย์กันบ่อยๆ ไม่เชื่อลองดู Raf Simmons Ozweego หรือรองเท้าของ Rick Owens ที่หน้าตาพอๆะเป็นพี่น้องกับคู่นี้ได้ อันนี้นานาจิตตัง แล้วแต่ความชอบนะฮะ
สุดท้ายแล้ว เรื่อง Zero Drop ที่เรากังวลว่าไม่เคยใช้มาก่อนจะทรมานมั้ย..ก็ไม่มีปัญหาฮะ ส่วนนึงน่าจะเป็นเพราะรุ่นนี้เหมือนรุ่นเริ่มต้นสำหรับคนที่อยากลอง 0 mm offset ด้วย ไม่โหดร้ายจนเกินไป เรารู้สึกขอบคุณรองเท้าคู่นี้ด้วยที่พาเราจบมาราธอนแรกด้วยความทรงจำที่สวยงาม สุดท้ายแล้วเราคิดว่ารองเท้าที่เป็น King หรือเป็น The Greatest Shoe เนี่ย ไม่มีอยู่จริงหรอกฮะ ต่างคนต่างใจ รองเท้าคู่ไหนที่ตัวเราเองใส่แล้ว “ชอบ” นั่นล่ะคือรองเท้าที่ดีที่สุดของเราล่ะ
ใครสนใจรุ่นนี้ ไปตามลายแทงได้ที่ร้าน Rev Runnr นะฮะ ราคาอยู่ที่ 5,750 บาท เราว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มเลยล่ะ
ขอบคุณ Rev Runnr ที่เป็นผู้สนับสนุนรองเท้าคู่นี้ให้กับเราอีกครั้ง ยังมีอุปกรณ์อีกหลายอย่างที่เค้าให้มาอีก ไว้ติดตามรีวิวได้อีกที่นี่เร็วๆนี้ฮะ